1G
- ระบบ: ใช้ระบบ Analog คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง
- การใช้งาน: ด้าน Voice ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้น ไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง SMS
2G
- ระบบ: เปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ Analog มาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น Microwave
- เทคโนโลยี: เกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐานหรือที่เรียกว่า Cell Site ก่อให้เกิด ระบบ GSM (Global System for Mobilization) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming
- Data Rate: 64 kbps
- การใช้งาน: สามารถรับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ การส่ง SMS คือจุดเริ่มของการใช้งานข้อมูลบนมือถือ เริ่มฮิตดาวน์โหลด Ringtone, Wallpaper, Graphic ต่างๆ แต่เป็นริงโทนแบบ Monotone และ ภาพกราฟิกต่างๆ ก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น
2.5G
- เทคโนโลยี: เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service)
- Speed: ตามหลักการแล้ว เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลแบบแพคเก็ตได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps (1G ส่งข้อมูลได้ 9 Kbps ต่อวินาที) แต่ในบ้านเราใช้ได้แค่ 20-40 Kbps ต่อวินาทีเท่านั้น
- การใช้งาน: มีการพัฒนาให้เครื่องมือสื่อสารมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เพิ่มฟังก์ชั่นการรับส่งข้อมูลในส่วนของ MMS (Multimedia Messaging Service) แต่ยุคนี้ยังเป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วต่ำ ดาวโหลดได้ช้าและได้จำนวนน้อย ซึ่งเราจะเห็นตัวอย่างง่ายๆ จากโทรศัพท์มือถือที่เป็นสีรุ่นแรกๆ นั่นเอง ริงโทนก็ถูกพัฒนาให้เป็นเสียงแบบ Polyphonic และเข้ามาสู่ยุคที่เสียงเรียกเข้าเป็นแบบ MP3 ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
2.75G
- เทคโนโลยี: เริ่มใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) ต่อยอดจากการพัฒนาของ GPRS ลักษณะการทำงานจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้
- Speed: เล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือได้ด้วยความเร็ว 70 - 180 kbps
- การใช้งาน: รองรับริงโทนแบบไฟล์ MP3 รายละเอียดเพิ่มเติม
3G
- ลักษณะ: คุณสมบัติ Always On กล่าวคือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดใช้งานโทรศัพท์โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อและล็อกอินเข้าเครือข่ายข้อมูลเหมือน GPRS การคิดค่าบริการจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น แตกต่างกับระบบทั่วไปที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่ Login เข้าในระบบเครือข่าย
- เทคโนโลยี: UMTS
- WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access) is an air interface standard คือระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่พัฒนามาจาก GSM ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 ต่อจากระบบ GSM หรือ 3G นั่นเอง เครื่องไหนที่รับรองรับเครือข่าย WCDMA ก็หมายความว่ารองรับ 3G ส่วน WCDMA นั้นไม่เหมือนกันกับ CDMA และใช้ร่วมกันไม่ได้ เครื่องมือถือที่รองรับสัญญาณเครือข่ายแบบ CDMA ไม่สามารถรับสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA ได้ และในทางกลับกัน เครื่องที่รองรับ WCDMA ก็ไม่สามารถรองรับ CDMA ได้เช่นกัน (เครื่องที่รองรับ CDMA แทบทั้งหมดจะไม่รองรับ WCDMA อีกด้วยครับ)
- UMTS(Universal Mobile Telecommunications System) คือเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในมาตรฐาน 3G ที่ส่งผ่านสัญญาณเครือข่ายแบบ WCDMA มีความเร็วสูงสุดอยู่แค่เพียง 384kbps เท่านั้น
- HSDPA (High-Speed Downlink Packet Access)คือเทคโนโลยีการรับข้อมูล ที่พัฒนามาจาก UMTS และนี่ทำให้ 3G มีความแตกต่างเพราะ การรับข้อมูลแบบ HSDPA สามารถรับความเร็วสูงสุดได้ ถึง 14.4 Mbps(Downlink) ซึ่งความเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวมือถือและทางผู้ให้บริการระบบเครือข่าย ด้วยว่าจะให้ความเร็วอยู่ที่เท่าไร (ประเทศไทยคาดว่าจะให้ความเร็วอยู่ที่ 7.2 Mbps) ใครที่กำลังเลือกซื้อมือถือ 3G เพื่อมาใช้เล่นInternet ก็ต้องคอยมองดูด้วย ว่ารองรับ HSDPA หรือไม่
- HSUPA (High-Speed Uplink Packet Access) คือเทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่พัฒนามาจาก UMTS เช่นกัน ซึ่งตอนนี้ความเร็วสูงสุดในในการส่งข้อมูลคือ 5.76 Mbps (uplink) (Internet ตามบ้านส่วนใหญ่ความเร็วในการส่งข้อมูลจะอยู่ที่ 512 Kbps) ไม่ว่าการรับข้อมูลจะเร็วแค่ไหนก็ตาม
- HSPA (High-Speed Packet Access) คือการรวม HSDPA และ HSUPA เข้าด้วยกัน เรียกรวมๆกันว่าเป็น HSPA ทำให้ได้ประสิทธิภาพทั้งรับ-ส่ง ที่ดีกว่า Credit
- HSPA+ ความเร็วสูงสุด 42Mbps (H+)
- Speed: ปัจจุบันอยู่ที่ Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps ต่อวินาที ในอนาคตมีแนวโน้มว่าอัตราการดาวและอัพโหลดข้อมูลจะมากถึง 42 Mbps ต่อวินาทีเลยที่เดียว A minimum data rate of 2 Mbit/s for stationary or walking users, and 384 kbit/s in a moving vehicle, 144kbps- 2Mbps
- การใช้งาน: ยุคที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสมาร์ทโฟนอย่างเต็มรูปแบบ สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีอย่าง HSPA (หรือที่เราเห็นไอคอน H บนจอมือถือ) ระบบภาพและเสียงที่มีประสิทธิภาพสมจริง สามารถประชุมทางไกลร่วมกันเพียงผ่านเครื่องมือสื่อสาร
4G
- ลักษณะ: Combination of wi-fi and wi-max
- Speed: 100Mbps – 1Gbps
- เทคโนโลยี: LTE (Long term Evolution) เป็นหนึ่งมาตรฐานจากกลุ่ม 3GPP ซึ่งความหมายเดิมทางวิศวกรรมของ LTE นั้นจริงๆก็คือยุค 3.9G แต่ในต่างประเทศบรรดาผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ-โอเปอเรเตอร์ก็มักจะเรียกแทนให้ LTE เป็น 4G นั่นเอง เป็นเทคโนโลยีการส่งข้อมูลที่ให้ความเร็วเหนือกว่า 3G ในปัจจุบันถึง 10 เท่า ซึ่งถือเป็นการพัฒนาการอีกขั้นต่อจาก 3G รวมไปถึงได้ถูกสร้างอยู่บนพื้นฐานของ GSM, GPRS,EDGE และ WCDMA รวมถึง HSPA อีกด้วย โดยคุณสมบัติของ 4G LTE นั้นจะกระจายสัญญาณบนความถี่ 1800 MHz และ 2300 MHz (20 ช่องสัญญาณ) ซึ่งตามทฤษฎี 4G LTE แบ่งเป็น 2 ชื่อมาตรฐาน คือ
- 4G LTE ที่สามารถอัพโหลด 50 Mbps และดาวน์โหลด 100 Mbps
- LTE Advance ที่สามารถอัพโหลด 500 Mbps และดาวน์โหลด 1Gbps
- การใช้งาน: ตอบสนองการใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตไร้สายให้ดีขึ้น ทำให้เรานั้นสามารถส่งรับข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเดิม และสามารถใช้โปรแกรมมัลติมีเดียได้อย่างเต็มที่ เช่น การสนทนาผ่านโปรแกรม Video Conference ในระดับความคมชัดแบบ HD ดูหนังออนไลน์หรือฟังเพลงไม่สะดุด และยังสามารถอัพโหลดหรือดาวน์โหลดข้อมูลที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
5G
- Speed: สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 20 Gbps มากกว่า 4G ถึง 20 เท่า (4G มีมาตรฐานอยู่ที่ 1Gbps) ส่วนความเร็วถ้าได้ใช้จริงๆอาจจะไม่ถึง 20 Gbps เต็มความสามารถก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยด้วย เช่น พื้นที่ สภาพอากาศ อุปกรณ์
- การใช้งาน: อาจจะมีการเริ่มใช้งานจริงในปี 2020 ในอนาคตเราจะสามารถโหลดไฟล์วีดีโอแบบ HD ที่มีไฟล์ขนาด 7.5 GB ได้ภายใน 1 วินาที อีกหน่อยหมออาจจะสามารถผ่าตัดทางไกลได้โดยการดูคลิปแล้วแนะนำคุณหมอในโรงพยาบาลที่กันดารแบบ Real Time
Sign up here with your email
3 Comments
Write CommentsPhonprathan89@gmail.com
ReplyPhonprathan89@gmail.com
ReplyPhonprathan89@gmail.com
ReplyConversionConversion EmoticonEmoticon